• No results found

A Little History of Religion-preview

N/A
N/A
Protected

Academic year: 2021

Share "A Little History of Religion-preview"

Copied!
17
0
0

Loading.... (view fulltext now)

Full text

(1)
(2)

ศาสนา: ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์ • สุนันทา วรรณสินธ์ เบล แปล

จากเรื่อง A Little History of Religion โดย Richard Holloway พิมพ์ครั้งแรก: ส�านักพิมพ์ openworlds, กันยายน 2560 ราคา 365 บาท คณะบรรณาธิการอ�านวยการ ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา สฤณี อาชวานันทกุล แอลสิทธิ์ เวอร์การา กรมัยพล สิริมงคลรุจิกุล พลอยแสง เอกญาติ วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง ปกป้อง จันวิทย์ กฤดิกร เผดิมเกื้อกูลพงศ์ บรรณาธิการบริหาร วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง บรรณาธิการส�านักพิมพ์ บุญชัย แซ่เงี้ยว ณัฏฐพรรณ เรืองศิรินุสรณ์ กัญญ์ชลา นาวานุเคราะห์ อภิรดา มีเดช ศิลปกรรม กัญญ์ชลา นาวานุเคราะห์ ยุทธภูมิ ปันฟอง ผู้จัดการส�านักพิมพ์ ภาคย์ มหิธิธรรมธร • บรรณาธิการเล่ม ณัฏฐพรรณ เรืองศิรินุสรณ์ บรรณาธิการต้นฉบับ อภิรดา มีเดช ออกแบบปก นักรบ มูลมานัส • จัดท�าโดย บริษัท โอเพ่นเวิลด์ส พับลิชชิ่ง เฮาส์ จ�ากัด 33 อาคารเอ ห้องเลขที่ 48 ซอยประดิพัทธ์ 17 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ 02-618-4730 email: openworldsthailand@gmail.com facebook: www.facebook.com/openworlds twitter: www.twitter.com/openworldsBKK website: www.openworlds.in.th จัดจ�าหน่าย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จ�ากัด (มหาชน) SE-EDUCATION PUBLIC COMPANY LIMITED เลขที่ 1858/87-90 ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา

เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทรศัพท์ 0-2739-8222, 0-2739-8000

โทรสาร 0-2739-8356-9

(3)

ส�าหรับสถาบันการศึกษา องค์กร หรือบุคคล ที่ต้องการสั่งซื้อหนังสือ จ�านวนมากในราคาลดพิเศษ โปรดติดต่อ ส�านักพิมพ์โอเพ่นเวิลด์ส หมายเลขโทรศัพท์ 02-618-4730 และ 097-174-9124 หรือ Email: openworldsthailand@gmail.com ข้อมูลทางบรรณานุกรมของส�านักหอสมุดแห่งชาติ ฮัลโลเวย์, ริชาร์ด. ศาสนา: ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์.-- กรุงเทพฯ : โอเพ่นเวิลด์ส พับลิชชิ่ง เฮาส์, 2560. 352 หน้า. 1. ศาสนา. I. สุนันทา วรรณสินธ์ เบล, ผู้แปล. II. ชื่อเรื่อง. 200 ISBN 978-616-7885-59-9 •

Copyright © 2016 by Richard Holloway. All rights reserved.

Originally published by Yale University Press. This edition published by arrangement with

Openworlds Publishing House through Tuttle-Mori Agency Co., Ltd. Thai language translation copyright © 2017 by Openworlds Publishing House

(4)

สารบัญ

1 มีใครอยู่บ้างไหม 10 2 ประตู 18 3 วงล้อ 26 4 จากเอกเป็นอเนก 34 5 จากเจ้าชายสู่พระพุทธเจ้า 42 6 จงอย่าเบียดเบียน 50 7 ผู้เร่ร่อน 58 8 ในดงแฝก 66 9 บัญญัติสิบประการ 74 10 ศาสดาพยากรณ์ 82 11 จุดจบ 90 12 คนนอกรีต 100 13 ศึกสุดท้าย 108 14 ศาสนาทางโลก 118 15 วิถีที่ควร 126 16 กวนโคลน 134 17 ศาสนาเข้าถึงตัว 142 18 ผู้กลับใจ 150 19 พระเมสสิยาห์ 158 20 พระเยซูมาถึงกรุงโรม 166 21 ศาสนจักรกุมอำานาจ 174

(5)

22 ศาสดาคนสุดท้าย 182 23 การน้อมยอมตน 190 24 การต่อสู้ 200 25 นรก 208 26 ตัวแทนของพระคริสต์ 216 27 ประท้วง 224 28 การแตกแยกครั้งใหญ่ 232 29 การปฏิรูปของนานัก 240 30 ทางสายกลาง 248 31 ตัดหัวอสูร 258 32 มิตรภาพ 268 33 ทำาในอเมริกา 276 34 เกิดในสหรัฐอเมริกา 286 35 ความผิดหวังครั้งใหญ่ 294 36 เรื่องลี้ลับและดาราภาพยนตร์ 304 37 ประตูเปิดอ้า 314 38 ศาสนาฉุนเฉียว 324 39 สงครามศักดิ์สิทธิ์ 334 40 อวสานศาสนา? 342 รู้จักผู้เขียน 350 รู้จักผู้แปล 351

(6)
(7)

แปลโดย

สุนันทา วรรณสินธ์ เบล

ศาสนา

ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์

by

Richard Holloway

A Little History

of Religion

(8)
(9)

นิกและอลิซ

ด้วยรัก

(10)

บทที่ 1

(11)

Richard Holloway 11 ศาสนาคืออะไร และมันมาจากไหน ศาสนาเกิดจากความคิดของ มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ประเสริฐ ดังนั้นมันย่อมมีที่มาจากเรา ดูเหมือนว่าสัตว์ ชนิดอื่นบนโลกไม่จ�าเป็นต้องมีศาสนา และเท่าที่เรารู้ พวกมันยังไม่ได้ พัฒนาศาสนาในรูปแบบใด นั่นเป็นเพราะพวกมันเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิต มากกว่าเรา สัตว์ท�าตามสัญชาตญาณ เลื่อนไหลไปตามสายน�้าแห่งการ ด�ารงอยู่โดยไม่ได้เฝ้าแต่คิดค�านึงเรื่องตัวตนตลอดเวลา ทว่าสัตว์ประเสริฐ อย่างมนุษย์สูญเสียความสามารถดังกล่าว สมองของเราพัฒนาการใน รูปแบบที่ท�าให้เราตระหนักรู้ถึงตัวตน เราสนใจเรื่องตัวเอง เราหยุดสงสัย ใคร่รู้ในสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เราหยุด คิด ไม่ได้ และสิ่งส�าคัญที่สุดที่เราขบคิดคือเรื่องของเอกภพ รวมถึงค�าถาม ที่ว่ามันมาจากไหน มีใครสร้างขึ้นมาหรือไม่ เรามีค�าสั้นๆ ที่ใช้เรียกบุคคล หรือสิ่งซึ่งอาจมีอยู่จริงนี้ นั่นคือค�าว่า พระเจ้า หรือ เทวา (theos ในภาษา กรีก) ผู้ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่จริงเรียกว่ากลุ่ม เทวนิยม (theist) ส่วนผู้ที่ คิดว่าไม่มีบุคคลเช่นนั้น และเราอยู่เพียงล�าพังภายในเอกภพนี้ เรียกว่ากลุ่ม

(12)

12 A Little History of Religion อเทวนิยม (atheist) ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้า ต้องการจากเรา เรียกว่า เทววิทยา (theology) ค�าถามยิ่งใหญ่อีกค�าถาม หนึ่งซึ่งเราเฝ้าถามตนเองเรื่อยมาคือ เกิดอะไรขึ้นกับเราหลังความตาย ทุกอย่างจบลงเมื่อเราตายใช่ไหม หรือจะมีอะไรเกิดตามมาอีก และถ้ามี อะไรต่อจากนั้นจริง มันจะเป็นเช่นไร สิ่งที่เราเรียกว่าศาสนาเป็นความพยายามแรกที่จะตอบค�าถาม เหล่านี้ ค�าตอบของศาสนาต่อค�าถามแรกช่างง่ายดาย กล่าวคือ เอกภพนั้น สร้างขึ้นจากพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือตัวมันเอง ซึ่งบางคนเรียกว่าพระเจ้า ผู้ที่ยัง สนใจและเข้ามาข้องเกี่ยวกับสิ่งที่ตนสร้างขึ้น แต่ละศาสนาให้ค�าอธิบาย ต่างกันว่าพลังที่เรียกว่าพระเจ้านั้นเป็นเช่นไรและต้องการอะไรจากเรา แต่ทุกศาสนาต่างเชื่อว่าพระเจ้ามีตัวตนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ศาสนา บอกให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในเอกภพนี้ พ้นไปจากเรายังมีความ เป็นจริงและมิติอื่นๆ เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “สิ่งเหนือธรรมชาติ” เพราะมัน อยู่นอกเหนือโลกธรรมชาติที่เราสัมผัสได้โดยตรง หากความเชื่อส�าคัญที่สุดของศาสนาคือความเป็นจริงที่ข้ามพ้น ขอบเขตของโลกนี้ หรือก็คือสิ่งที่เราเรียกว่าพระเจ้า แล้วอะไรเป็นตัวกระตุ้น ให้เกิดความเชื่อเช่นนั้น และมันเริ่มต้นเมื่อไรกันเล่า? เรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อ นานมาแล้ว อันที่จริงดูเหมือนว่าไม่มียุคใดเลยที่มนุษย์ไม่เชื่อว่ามีโลก เหนือธรรมชาติที่ข้ามพ้นไปจากโลกใบนี้ นี่อาจเริ่มต้นจากความสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์หลังความตาย สัตว์ทั้งปวงล้วนตาย แต่มนุษย์ต่าง จากสัตว์อื่นๆ ตรงที่ไม่ปล่อยให้ร่างไร้วิญญาณเน่าสลายไป ณ จุดที่พวกเขา สิ้นลมล้มลง หากย้อนกลับไปเนิ่นนานตราบที่เราติดตามร่องรอยได้ ดูเหมือนมนุษย์จะจัดงานศพให้กับผู้ตาย และแบบแผนงานศพเหล่านั้น บอกเราเกี่ยวกับความเชื่อเก่าแก่ที่สุดของพวกเขา แน่นอนว่าใช่ว่าสัตว์อื่นๆ ไม่อาลัยเพื่อนที่ตายไป มีหลักฐาน มากมายชี้ว่าสัตว์หลายชนิดท�าเช่นนั้น ในเมืองเอดินบะระมีรูปปั้นเลื่องชื่อ ของสุนัขตัวน้อยชื่อเกรย์ฟรายอาร์ส บ็อบบี (Grayfriars Bobby) ซึ่ง

(13)

Richard Holloway 13 พิสูจน์ให้เห็นว่าสัตว์เศร้าโศกเมื่อสูญเสียผู้ที่รู้สึกผูกพันด้วย บ็อบบีตาย ในปี 1872 หลังจากใช้เวลา 14 ปีสุดท้ายของชีวิตนอนบนหลุมศพของ จอห์น เกรย์ (John Gray) เจ้านายที่เสียชีวิตไป แน่นอนว่าบ็อบบีคิดถึง เพื่อนของเขา ผู้คนในครอบครัวของจอห์น เกรย์ เป็นผู้จัดงานศพให้บ็อบบี อย่างสมเกียรติและฝังมันในสุสานเกรย์ฟรายอาร์ส ซึ่งการฝังมันนี่เองคือ หนึ่งในพฤติกรรมเยี่ยงมนุษย์ที่โดดเด่นอย่างชัดเจน แล้วอะไรจุดประกาย ให้มนุษย์ฝังคนตายเล่า เรื่องที่ชัดเจนที่สุดที่เราสังเกตเห็นเกี่ยวกับคนตายคือ บางสิ่งที่ เคยเกิดขึ้นในตัวพวกเขาหยุดลง พวกเขาหยุดหายใจ นี่เป็นก้าวสั้นๆ ที่ เชื่อมโยงการหายใจกับความคิดว่ามีบางสิ่งซึ่งมอบชีวิตอาศัยอยู่ภายใน ร่างแต่แยกต่างหากจากร่างกาย ภาษากรีกเรียกสิ่งนี้ว่า “psyche” และ ภาษาละตินเรียกว่า “spiritus” ทั้งสองค�ามาจากค�ากริยาที่แปลว่าหายใจ หรือเป่า จิตหรือวิญญาณคือสิ่งที่ท�าให้ร่างมีชีวิตและมีลมหายใจ มันอาศัย อยู่ในร่างกายช่วงหนึ่งและจากไปเมื่อร่างนั้นตายลง แต่มันไปไหนเล่า ค�าอธิบายหนึ่งคือมันกลับไปยังโลกเบื้องบน โลกแห่งวิญญาณ ซึ่งเป็น อีกด้านหนึ่งของโลกที่เราอาศัยอยู่ สิ่งที่เราค้นพบเกี่ยวกับพิธีศพในยุคแรกเริ่มสนับสนุนความคิดนี้ แม้ว่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ของเราจะทิ้งไว้เพียงร่องรอยอันเงียบงันว่า พวกเขาคิดอะไร ตอนนั้นยังไม่มีใครประดิษฐ์คิดค้นการเขียน พวกเขาจึง ไม่สามารถถ่ายทอดความคิดหรือบรรยายความเชื่อในรูปแบบที่เรา อ่านได้ในปัจจุบัน แต่พวกเขาหลงเหลือร่องรอยที่บอกใบ้ว่าพวกเขาคิด อะไร ดังนั้นเราจะมาศึกษาร่องรอยเหล่านั้นกัน ซึ่งหากจะค้นหาร่องรอย เหล่านั้น เราต้องย้อนกลับไปหลายพันปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งเป็นค�าที่ ต้องอธิบายก่อนที่เราจะกล่าวต่อไป เป็นความคิดที่ดีที่จะใช้ปฏิทินเดียวกันทั่วโลกหรือมีระบบ เดียวกันในการบอกวันเดือนปีของเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต วิธีที่เราใช้ใน ปัจจุบันถือก�าเนิดขึ้นในศาสนาคริสต์เมื่อศตวรรษที่ 6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า

(14)

14 A Little History of Religion ศาสนามีอิทธิพลเพียงใดในประวัติศาสตร์ของเรา นิกายคาทอลิกเคยเป็น หนึ่งในอ�านาจยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกเป็นเวลาหลายพันปี มีอ�านาจมากถึง ขนาดสามารถก�าหนดปฏิทินที่ทั่วโลกยังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เหตุการณ์ ที่เป็นหมุดหมายส�าคัญคือพระประสูติของพระเยซูผู้เป็นศาสดา ปีที่ พระองค์ประสูตินับเป็นปีที่หนึ่ง ทุกสิ่งที่เกิดก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นช่วง ก่อนคริสต์ศักราช (BC หรือ Before Christ) ทุกสิ่งที่เกิดหลังจากนั้นคือ ปีที่พระคริสต์จุติ (AD หรือ anno Domini)

ในยุคสมัยของเราทุกวันนี้ ค�าว่า BC และ AD ถูกแทนที่ด้วย BCE และ CE ซึ่งเป็นค�าที่สามารถตีความให้เกี่ยวโยงกับศาสนาหรือไม่ ก็ได้ BCE ย่อมาจาก Before the Christian Era (ก่อนคริสต์ศักราช) หรือ Before the Common Era (ก่อนศักราชกลาง) ก็ได้ ในขณะที่ CE หมายถึง อยู่ในช่วง Christian Era (คริสต์ศักราช) หรือ Common Era (ศักราชกลาง) นั่นเอง คุณจะเลือกแบบใดก็ได้ตามที่คุณเข้าใจ ในหนังสือเล่มนี้ ผมจะใช้ BCE เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนคริสต์ศักราชหรือก่อนศักราชกลาง แต่ผมจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้ CE กลาดเกลื่อน และจะใช้ก็ต่อเมื่อเห็นว่าจ�าเป็น ดังนั้นหากคุณอ่านเจอวันที่ซึ่งเขียนปีโดดๆ ขอให้เข้าใจว่าเกิดในคริสต์ ศักราชหรือศักราชกลาง อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ราว 130000 BCE เป็นต้นมา เราพบ หลักฐานของความเชื่อทางศาสนาแบบใดแบบหนึ่งเกี่ยวกับรูปแบบวิธีที่ บรรพบุรุษของเราฝังคนตาย พวกเขาวางอาหาร เครื่องมือ และเครื่อง ประดับในหลุมศพที่ขุดพบ ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อที่ว่าคนตายเดินทาง ต่อไปยังชีวิตหลังความตายรูปแบบใดแบบหนึ่ง และจ�าเป็นต้องมีข้าวของ เหล่านี้ในการเดินทาง ธรรมเนียมอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาจะวาดดินแดง บนร่างผู้ตาย ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่ด�าเนินต่อไป หลักฐานนี้ พบในสุสานเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นหลุมศพของแม่และเด็กตั้งแต่สมัย 100000 BCE ในเมืองคาฟเซห์ (Qafzeh) ประเทศอิสราเอล และยังพบ ธรรมเนียมเดียวกันนี้ในอีกซีกโลกหนึ่งคือที่ทะเลสาบมังโก (Lake Mungo)

(15)

Richard Holloway 15 ในออสเตรเลีย เป็นศพเมื่อปี 42000 BCE ปกคลุมด้วยดินแดงเช่นกัน การวาดสีบนร่างผู้ตายบ่งบอกถึงการอุบัติของความคิดที่ชาญฉลาดที่สุด อย่างหนึ่งของมนุษยชาติ นั่นคือความคิดเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งมีอยู่มากมาย ในศาสนา ดังนั้นเราควรจะเข้าใจเรื่องนี้ก่อน เช่นเดียวกับค�าส�าคัญทั้งหลาย ค�าว่า symbol ที่แปลว่าสัญลักษณ์ ในภาษาอังกฤษนั้นมีที่มาจากภาษากรีก หมายถึงน�าสิ่งที่แยกออกจากกัน กลับมารวมกัน คล้ายกับเวลาเราปะติดปะต่อเศษจานที่แตกให้กลับคืน ดังเดิม ต่อมาสัญลักษณ์ก็กลายเป็นวัตถุที่เป็นตัวแทนสิ่งอื่น แม้จะยัง รักษาแนวคิดของการประสานรวมสิ่งต่างๆ เอาไว้ แต่มันซับซ้อนกว่าการ เชื่อมต่อภาชนะดินเผาเข้าด้วยกัน ตัวอย่างของสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัด คือธงประจ�าชาติ เช่น ดาวและแถบสีบนธงชาติสหรัฐอเมริกา เมื่อเราเห็น ดาวและแถบสี เรานึกถึงสหรัฐอเมริกา มัน เป็นสัญลักษณ์ และเป็นตัวแทน ของประเทศนี้ สัญลักษณ์กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส�าหรับผู้คน เพราะมันเป็น ตัวแทนของความจงรักภักดีที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายด้วยถ้อยค�า นั่นคือ เหตุผลว่าท�าไมคนเราจึงไม่ชอบเห็นสัญลักษณ์ของตนถูกย�่ายี การเผา ผ้าเก่าผืนหนึ่งไม่มีอะไรผิด แต่ถ้าผ้าผืนนั้นบังเอิญเป็นสัญลักษณ์ของ ชาติคุณ มันอาจท�าให้คุณโกรธ เมื่อสัญลักษณ์นั้นเกี่ยวข้องกับศาสนา และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส�าหรับชุมชน มันจะทรงอ�านาจยิ่งขึ้น และพฤติกรรม ลบหลู่สัญลักษณ์เหล่านั้นอาจกระตุ้นให้เกิดโทสะถึงขั้นรบราฆ่าฟัน ขอให้ เก็บความคิดเกี่ยวกับสัญลักษณ์นี้ไว้ในใจ เพราะมันจะปรากฏอีกหลายครั้ง ในหนังสือเล่มนี้ ด้วยแนวคิดที่ว่าสิ่งหนึ่งเป็นตัวแทนของอีกสิ่ง ดังเช่น ดินแดงเป็นตัวแทนความเชื่อที่ว่าคนตายเดินทางต่อไปสู่ชีวิตใหม่ในอีก สถานที่หนึ่ง อีกตัวอย่างของความคิดเชิงสัญลักษณ์คือ การที่คนเราให้ความ ส�าคัญกับเครื่องหมายบ่งบอกสถานที่เก็บศพ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ตาย เป็นบุคคลยิ่งใหญ่และเรืองอ�านาจ บางครั้งเราฝังศพพวกเขาไว้ใต้หิน

(16)

16 A Little History of Religion ก้อนยักษ์ บางครั้งก็ไว้ในดอลเมน (dolmen) ซึ่งเป็นห้องที่สร้างอย่างประณีต จากก้อนหิน ประกอบด้วยหินสองก้อนตั้งตระหง่านรองรับน�้าหนักของ แผ่นหินขนาดใหญ่ อนุสรณ์ส�าหรับคนตายที่โดดเด่นที่สุดของมนุษยชาติ คือพีระมิดที่เมืองกีซาในประเทศอียิปต์ ซึ่งนอกจากเป็นสุสานแล้ว พีระมิด เหล่านี้อาจเป็นเหมือนลานส่งวิญญาณ เพื่อส่งให้วงศานุวงศ์ที่ฝังอยู่พุ่ง ทะยานสู่ความเป็นอมตะ ต่อมา พิธีฝังศพไม่เพียงพิถีพิถันมากขึ้น แต่ยังโหดร้ายขึ้นด้วย ในบางแห่ง มีการสังเวยภรรยาและคนรับใช้เพื่อส่งไปปรนนิบัติและเสริม บารมีของผู้ตายในโลกหน้า น่าสังเกตว่านับแต่ยุคแรกเริ่ม ศาสนาก็มีด้าน ที่อ�ามหิตและไม่ค�านึงถึงชีวิตของปัจเจกชน แนวทางการตีความร่องรอยเหล่านี้ที่ดูจะสมเหตุสมผลคือ คนรุ่นก่อนเห็นว่าความตายเป็นหนทางสู่การมีตัวตนในอีกวาระหนึ่ง และ จินตนาการว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตในโลกนี้ เราเห็นวี่แววของ ความเชื่อเกี่ยวกับโลกที่อยู่นอกเหนือโลกใบนี้ แต่ยังเชื่อมต่อกันโดยมี ความตายเป็นประตูสู่โลกใบนั้น ถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าความเชื่อทางศาสนาเกิดจากกระบวนการ คาดเดาที่ดลบันดาลขึ้นมา บรรพบุรุษของเราถามตนเองว่าโลกมาจากไหน และคิดว่ามันน่าจะสร้างขึ้นด้วยฝีมือของอ�านาจสูงส่งเหนือเราที่อยู่ไกล ออกไป พวกเขามองคนตายไร้ลมหายใจแล้วตัดสินว่าวิญญาณของคน เหล่านั้นคงจะออกจากร่างที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยแล้วเดินทางไปสู่แห่งหนอื่น แต่คนกลุ่มส�าคัญในประวัติศาสตร์ศาสนาไม่ได้เพียงแค่ คาดเดา ถึงโลกเบื้องหน้าหรือจุดหมายของวิญญาณที่ลาลับ พวกเขาบอกเราว่า ตนได้ไปเยือนโลกนั้น หรือไม่ก็โลกนั้นเคยมาเยือนพวกเขา พวกเขาได้ยิน เสียงเรียกร้องต่อเราจากที่แห่งนั้น และได้รับค�าสั่งให้บอกคนอื่นว่าตน ได้เห็นและได้ยินอะไรมาบ้าง พวกเขาจึงป่าวประกาศสารที่ได้รับ และ ดึงดูดสาวกที่เชื่อค�าพูดเหล่านั้นแล้วเริ่มใช้ชีวิตตามค�าสอนของพวกเขา เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่าศาสดาหรือปราชญ์ผู้ทรงภูมิ ศาสนาใหม่ๆ ถือก�าเนิด

(17)

Richard Holloway 17 จากคนเหล่านี้นี่เอง จากนั้นสิ่งอื่นก็เกิดขึ้น เหล่าสาวกจดจ�าเรื่องที่พวกเขาเล่า แรกเริ่ม นั้นถ่ายทอดเรื่องราวแบบปากต่อปาก แต่ในเวลาต่อมาก็จารึกเป็น ลายลักษณ์อักษรบนแผ่นกระดาษ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าพระคัมภีร์ หรือสาส์นศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ คัมภีร์ไบเบิล! คัมภีร์ เล่มเดียวในโลก! ซึ่ง กลายเป็นสัญลักษณ์อันทรงอานุภาพที่สุดของศาสนา แน่นอนว่ามันเป็น หนังสือที่จับต้องได้ และเขียนขึ้นโดยมนุษย์ เราอาจแกะรอยประวัติศาสตร์ ได้ แต่ถ้อยค�าในหนังสือคือสื่อน�าสารจากโลกหน้ามาสู่โลกของเรา หนังสือ เล่มนี้กลายเป็นสะพานเชื่อมต่อความเป็นนิรันดร์กับกาลเวลา เชื่อมโยง มนุษย์กับพระเจ้า ผู้คนจึงย�าเกรงและศึกษามันอย่างคร�่าเคร่ง นี่เองคือ เหตุผลว่าท�าไมผู้ศรัทธาจึงไม่พอใจเมื่อมันถูกลบหลู่หรือท�าลาย ประวัติศาสตร์ของศาสนาคือเรื่องราวของศาสดาและปราชญ์ ผู้ทรงภูมิเหล่านี้ รวมถึงความเคลื่อนไหวที่พวกเขาจุดประกายให้เกิดขึ้น และคัมภีร์ที่เขียนเกี่ยวกับพวกเขา แต่มันเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วย ข้อขัดแย้งและการโต้เถียง พวกที่ไม่เชื่อถือพากันสงสัยว่าศาสดาบางคน มีตัวตนจริงหรือไม่ และกังขาในค�ากล่าวอ้างเกี่ยวกับสิ่งที่คนเหล่านั้นได้เห็น และได้ยิน ซึ่งก็สมควรจะตั้งข้อสงสัย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่อยู่เหนือ ข้อโต้แย้งคือ ศาสดาเหล่านี้มีตัวตนใน เรื่องราว ที่เล่าขานเกี่ยวกับพวกเขา และเรื่องราวเหล่านั้นยังมีความหมายส�าหรับคนหลายพันล้านคนใน ปัจจุบัน ในหนังสือเล่มนี้ เราจะได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาซึ่งศาสนา เป็นผู้บอกเล่า โดยเราจะไม่คอยตั้งค�าถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในอดีตเป็น เช่นไรกันแน่ แต่คงไม่ถูกต้องหากเราเพิกเฉยต่อค�าถามเหล่านั้นอย่าง สิ้นเชิง ฉะนั้นในบทต่อไป เราจะค�านึงว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อศาสดาและ ปราชญ์ผู้ทรงภูมิเห็นภาพและได้ยินเสียงเหล่านั้น ศาสดาคนหนึ่งใน จ�านวนนั้นคือโมเสส (Moses)

References

Related documents

PhyMed Health Group physician-owned company comprised of anesthesia, pain management and critical care professionals, announced that Lebanon (Pa.) Anesthesia Associates has

When the marginal diminishing effect of aid is dropped, the level variables indicate that, domestic revenue contribution to output growth far outweighs the contribution

Controller’s Office of Local Government Fiscal Affairs could assume a more active role in monitoring the financial solvency and default risk posed by public entity self-insureds.

WIRING HARNESS.. 1) Disconnect wiring harness connector from ignition module. Inspect connector for dirt, corrosion, or damage. Repair if necessary. Measure voltage at battery.

Next select Object|Create|Rectangle and click twice on the top view of the model to create a rectangle that completely encloses the grid.. The Object Properties dialog box

For instance, the intention to create an impact (e.g. social, environmental) does not represent an absolute distinct feature of Impact investing since many other SRI strategies